วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

บทที่ 2 การศึกษาความเป็นไปได้

2.1 ศึกษาปัญหาของระบบ

1. ระบบเก่ามีความล่าช้าในการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์
2. ระบบเก่ามีความล่าช้าในการตรวจสอบจำนวนผู้ชมทั้งหมด
3. ลูกค้าไม่สามารถเลือกที่นั่งชมภาพยนตร์ตามที่ต้องการได้
4. ลูกค้าไม่สามารถจองที่นั่งชมภาพยนตร์ล่วงหน้าได้
5. ลูกค้าไม่สามารถทราบถึงเวลาในการฉายภาพยนตร์แต่ละรอบ

2.2 เสนอแนวทางแก้ปัญหา

แนวทางที่ 1

ใช้ภาษา Visual Basic (VB) ใช้ในการปรับปรุงระบบจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ให้สามารถเลือกที่นั่งชมภาพยนตร์ ในการสร้างระบบ และใช้ Microsoft Access ในการจัดเก็บข้อมูล

แนวทางที่ 2
ใช้ภาษา Active Server Page.net (ASP.NET) ในการปรับปรุงระบบจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ให้สามารถเลือกที่นั่งชมภาพยนตร์ ในการสร้างระบบ และใช้ Microsoft SQL 2005 ในการจัดเก็บข้อมูล

แนวทางที่ 3
ใช้ภาษา Personal Home Page Tools (PHP) ในการปรับปรุงระบบจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ให้สามารถเลือกที่นั่งชมภาพยนตร์ ในการสร้างระบบ และใช้ MySQL ในการจัดเก็บข้อมูล

2.3 ประเมินแนวทางที่เสนอ

2.3.1 ความเหมาะสมทางด้านเทคโนโลยี (Techically Feasible)

แนวทางที่ 1

การติดตั้งระบบเหมือนโปรแกรมทั่วไป สามารถติดตั้งแล้วตั้งค่าได้ทันที โปรแกรม Visual Basic สามารถออกแบบหน้าตาของระบบได้ง่าย สวยงาม โปรแกรม Microsoft Access มีความเป็นมาตรฐาน

แนวทางที่ 2
การใช้งานระบบนั้นสามารถเรียกใช้งานผ่านทางโปรแกรมประเภท Web Browser ได้ทันที สามารถเรียกใช้งานได้ง่าย ติดตั้งระบบเพียงครั้งเดียว ซึ่งใช้ภาษา Active Server Pages.net (ASP.NET) และ Microsoft SQL ในการพัฒนาระบบ

แนวทางที่ 3
การใช้งานระบบนั้นสามารถเรียกใช้งานผ่านทางโปรแกรมประเภท Web Browser ได้ทันที สามารถเรียกใช้งานได้ง่าย ติดตั้งระบบเพียงครั้งเดียว ซึ่งใช้ภาษา Personal Home Page Tools (PHP) และ MySQL ในการพัฒนาระบบ

2.3.2 ความเหมาะสมทางด้านปฏิบัติ (Operational Feasibility)

แนวทางที่ 1
สามารถทำการติดตั้งได้ง่าย เนื่องจากระบบเป็นระบบ Setup เหมือน Application ทั่วไป การออกแบบระบบสามารถทำได้ง่ายเนื่องจากใช้ภาษา Visual Basic ในการออกแบบ และใช้ Microsoft Access ในการจัดการด้านฐานข้อมูล

แนวทางที่ 2
สามารถทำได้สะดวก เป็นทียอมรับเนื่องจากระบบที่ใช้ภาษา Active Server Pages.net (ASP.NET) ในการสร้างระบบ และใช้ Microsoft SQL ในการจัดการด้านฐานข้อมูล ติดตั้งระบบที่เครื่องแม่เพียงเครื่องเดียว และสามารถใช้งานระบบด้วยโปรแกรม Web Browser

แนวทางที่ 3
สามารถทำได้สะดวก เป็นทียอมรับเนื่องจากระบบที่ใช้ภาษา Personal Home Page Tools (PHP) ในการสร้างระบบ และใช้ MySQL ในการจัดการด้านฐานข้อมูล ติดตั้งระบบที่เครื่องแม่เพียงเครื่องเดียว และสามารถใช้งานระบบด้วยโปรแกรม Web Browser

2.3.3 ความเหมาะสมทางด้านการลงทุน (Economic Feasibility)

2.3.3.1 ประมาณต้นทุน กำไร



2.3.3.2 การประมาณค่าใช้จ่ายเนื้อหาสำหรับแนวทางต่างๆ


ตารางที่ 2.3.3.2 ประมาณค่าใช้จ่ายเนื้อหาสำหรับแนวทางต่างๆ



2.3.3.3 วิเคราะห์มูลค่าปัจจุบัน


1)
วิเคราะห์มูลค่าปัจจุบันของแนวทางที่ 1
ตารางที่ 2.3 วิเคราะห์มูลค่าปัจจุบันของแนวทางที่ 1




2) วิเคราะห์มูลค่าปัจจุบันของแนวทางที่ 2
ตารางที่ 2.4 วิเคราะห์มูลค่าปัจจุบันของแนวทางที่ 2




3) วิเคราะห์มูลค่าปัจจุบันของแนวทางที่ 3
ตารางที่ 2.5 วิเคราะห์มูลค่าปัจจุบันของแนวทางที่ 3



2.3.3.4 วิเคราะห์ระยะเวลาในการคืนทุน

แนวทางที่ 1 ระยะเวลาการคืนทุนปีที่ 5
แนวทางที่ 2 ระยะเวลาการคืนทุนปีที่ 5
แนวทางที่ 3 ระยะเวลาการคืนทุนปีที่ 4

2.4 เลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุด

เนื่องจากแนวทางทั้ง 3 แนวทาง เป็นแนวทางที่เหมาะสมทั้งในด้านเทคโนโลยีด้านการปฏิบัติและด้านการลงทุน แต่เมื่อพิจารณาด้านการใช้แนวทางที่ 1 มีข้อจำกัดในการใช้งานทางด้าน ฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ ไม่สามารถใช้งานผ่านทางเว็บบราวเซอร์ได้ ส่วนแนวทางที่ 2 และแนวทางที่ 3 ไม่มีข้อจำกัดทางด้านฮาร์ดแวร์ และสามารถทำงานผ่านทางเว็บบราวเซอร์ได้ เมื่อเปรียบเทียบแนวทางที่ 2 และแนวทางที่ 3 แล้วพบว่า แนวทางที่ 2 นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าแนวทางที่ 3 ดังนั้น แนวทางที่ 3 จึงเหมาะที่สุดในการพัฒนาระบบการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ขั้นตอน 5 ขั้น

1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

      เนื่องจากปัจจุบันชีวิตต้องแข่งขันกับเวลายิ่งถ้าเราเสียเวลากับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นเวลานานๆ เราจะพลาดสิ่งอื่นๆ ไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเวลานั้นมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ดังนั้นจึงเกิดเป็นปัญหาขึ้นในเวลาเร่งรีบ ในการไปรับชมภาพยนตร์ จะประสบปัญหาการล่าช้าในเวลาที่เราต้องการจะซื้อบัตรชมภาพยนตร์ โดยต้องเสียวเลาไปดูรอบการฉายภาพยนตร์ และอาจเป็นเพราะความล่าช้าของพนักงานเอง หรือระบบการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์แบบเก่าๆ ที่จะทำงานไม่ค่อยจะเป็นระบบซักเท่าไหร่ การศึกษาระบบจึ่งมุ่งไปถึงการทำงานที่เป็นระบบ สะดวกต่อเจ้าของในการบริหารจัดการโรงภาพยนตร์ ทั้งการนำเสนอข่าวสารของโรงภาพยนตร์เอง การเลือกที่นั่งชมภาพยนตร์ การจองที่นั่งชมภาพยนตร์ การบริหารจัดการของโรงภาพยนตร์ ทั้งที่เพื่อให้สามารถบริการโรงภาพยนตร์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและทำให้ระบบโรงภาพยนตร์นั้นมีมาตรฐานมากขึ้น ปัจจุบันก็ยังมีโรงภาพยนตร์แบบเก่าเปิดอยู่พอสมควรจึงได้แลเห็นว่า จะทำอย่างไรให้เกิดมาตรฐานในการบริหารโรงภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้บริการได้ดีเท่าเทียมกับโรงภาพยนตร์ต่างๆ ตามห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียง




1.2 วัตถุประสงค์
      1. เพื่อพัฒนาระบบการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์
      2. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการเลือกที่นั่ง
      3. สามารถให้ลูกค้าจองเวลาบัตรชมภาพยนตร์ล่วงหน้าได้
      4. เพื่อลดการเสียเวลาในการให้บริการของพนักงาน
      5. การทำงานสะดวกขึ้นช่วยให้ลดค่าใช้จ่ายในอัตราการจ้างพนักงาน



1.3 ขอบเขตของโครงงาน
      1. สามารถบันทึก ลบ แก้ไข ค้นหาข้อมูลลูกค้าหรือสมาชิก
      2. สามารถบันทึก ลบ แก้ไข ค้นหาข้อมูลโรงภาพยนตร์ เช่น ฐานข้อมูลสมาชิก ฐานข้อมูลภาพยนตร์ ฐานข้อมูลค่าใช้จ่าย-รายได้
      3. คำนวณราคาบัตรชมภาพยนตร์ พร้อมระบุที่นั่งสำหรับลูกค้า
      4. รายงานบัตรชมภาพยนตร์สำหรับลูกค้า ระบุชื่อภาพยนตร์ เวลาฉาย โรงฉายและที่นั่ง
      5. รายงานรายรับ/รายจ่ายในการฉายภาพยนตร์ใน 1 รอบ ในรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือนและรายปี



1.4 ขั้นตอนในการดำเนินงาน



1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
      1. ระบบการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ได้
      2. อำนวยความสะดวกของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
      3. ลูกค้าใช้บริการจองเวลาได้
      4. บริหารจัดการเวลาอันสั้นในการขายบัตรได้อย่างรวดเร็ว

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ระบบ SDLC

วงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle :SDLC)

ระบบสารสนเทศทั้งหลายมีวงจรชีวิตที่เหมือนกันตั้งแต่เกิดจนตายวงจรนี้จะเป็นขั้นตอนที่เป็นลำดับตั้งแต่ต้นจนเสร็จเรียบร้อย เป็นระบบที่ใช้งานได้ ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบต้องทำความเข้าใจให้ดีว่าในแต่ละขั้นตอนจะต้องทำอะไร และทำอย่างไร ขั้นตอนการพัฒนาระบบมีอยู่ด้วยกัน 7 ขั้น ด้วยกัน คือ
  1. เข้าใจปัญหา (Problem Recognition)
  2. ศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study)
  3. วิเคราะห์ (Analysis)
  4. ออกแบบ (Design)
  5. สร้างหรือพัฒนาระบบ (Construction)
  6. การปรับเปลี่ยน (Conversion)
  7. บำรุงรักษา (Maintenance)

ขั้นที่ 1 : เข้าใจปัญหา (Problem Recognition)

ระบบสารสนเทศจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้บริหารหรือผู้ใช้ตระหนักว่าต้องการระบบสารสนเทศหรือระบบจัดการเดิม ได้แก่ระบบเอกสารในตู้เอกสาร ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่ตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน ปัจจุบันผู้บริหารตื่นตัวกันมากที่จะให้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศมาใช้ในหน่วยงานของตน ในงานธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือใช้ในการผลิต ตัวอย่างเช่น บริษัทของเรา จำกัด ติดต่อซื้อสินค้าจากผู้ขายหลายบริษัท ซึ่งบริษัทของเราจะมีระบบ MIS ที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินที่บริษัทขอเราติดค้างผู้ขายอยู่ แต่ระบบเก็บข้อมูลผู้ขายได้เพียง 1,000 รายเท่านั้น แต่ปัจจุบันผู้ขายมีระบบเก็บข้อมูลถึง 900 ราย และอนาคตอันใกล้นี้จะเกิน 1,000 ราย ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงเรียกนักวิเคราะห์ระบบเข้ามาศึกษา แก้ไขระบบงาน ปัญหาที่สำคัญของระบบสารสนเทศในปัจจุบัน คือ ระบบเขียนมานานแล้ว ส่วนใหญ่เขียนมาเพื่อติดตามเรื่องการเงิน ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารในการตัดสินใจ แต่ปัจจุบันฝ่ายบริหารต้องการดูสถิติการขายเพื่อใช้ในการคาดคะเนในอนาคต หรือความต้องการอื่นๆ เช่น สินค้าที่มียอดขายสูง หรือสินค้าที่ลูกค้าต้องการสูง หรือการแยกประเภทสินค้าต่างๆที่ทำได้ไม่ง่ายนัก การที่จะแก้ไขระบบเดิมที่มีอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก หรือแม้แต่การสร้างระบบใหม่ ดังนั้นควรจะมีการศึกษาเสียก่อนว่าความต้องการของเราเพียงพอที่เป็นไปได้หรือไม่ ได้แก่ "การศึกษาความเป็นไปได้" (Feasibility Study)

ขั้นตอนที่ 2 : ศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study)

จุดประสงค์ของการศึกษาความเป็นไปได้ก็คือ การกำหนดว่าปัญหาคืออะไรและตัดสินใจว่าการพัฒนาสร้างระบบสารสนเทศ หรือการแก้ไขระบบสารสนเทศเดิมมีความเป็นไปได้หรือไม่โดยเสียค่าใช้จ่ายและเวลาน้อยที่สุด และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ปัญหาต่อไปคือ นักวิเคราะห์ระบบจะต้องกำหนดให้ได้ว่าการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีความเป็นไปได้ทางเทคนิคและบุคลากร ปัญหาทางเทคนิคก็จะเกี่ยวข้องกับเรื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องมือเก่าๆถ้ามี รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ด้วย ตัวอย่างคือ คอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ในบริษัทเพียงพอหรือไม่ คอมพิวเตอร์อาจจะมีเนื้อที่ของฮาร์ดดิสก์ไม่เพียงพอ รวมทั้งซอฟต์แวร์ ว่าอาจจะต้องซื้อใหม่ หรือพัฒนาขึ้นใหม่ เป็นต้น ความเป็นไปได้ทางด้านบุคลากร คือ บริษัทมีบุคคลที่เหมาะสมที่จะพัฒนาและติดตั้งระบบเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่มีจะหาได้หรือไม่ จากที่ใด เป็นต้น นอกจากนั้นควรจะให้ความสนใจว่าผู้ใช้ระบบมีความคิดเห็นอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งความเห็นของผู้บริหารด้วย
สุดท้ายนักวิเคราะห์ระบบต้องวิเคราะห์ได้ว่า ความเป็นไปได้เรื่องค่าใช้จ่าย รวมทั้งเวลาที่ ใช้ในการพัฒนาระบบ และที่สำคัญคือ ผลประโยชน์ที่จะได้รับ เรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบเพื่อรองรับผู้ขายให้ได้มากกว่า 1,000 บริษัทนั้น ควรใช้เวลาไม่เกิน 1 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นจนใช้งานได้ ค่าใช้จ่ายเริ่มตั้งแต่พัฒนาจนถึงใช้งานได้จริงได้แก่ เงินเดือน เครื่องมือ อุปกรณ์ ต่างๆ เป็นต้น พูดถึงเรื่องผลประโยชน์ที่ได้รับอาจมองเห็นได้ไม่ง่ายนัก แต่นักวิเคราะห์ระบบควรมองและตีออกมาในรูปเงินให้ได้ เช่น เมื่อนำระบบใหม่เข้ามาใช้อาจจะทำให้ ค่าใช้จ่ายบุคลากรลดลง หรือกำไรเพิ่มมากขึ้น เช่น ทำให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้บริหารมีข้อมูลพร้อมที่จะช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้น

ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์ (Analysis)

เริ่มเข้าสู่การวิเคราะห์ระบบ การวิเคราะห์ระบบเริ่มตั้งแต่การศึกษาระบบการทำงานของธุรกิจนั้น ในกรณีที่ระบบเราศึกษานั้นเป็นระบบสารสนเทศอยู่แล้วจะต้องศึกษาว่าทำงานอย่างไร เพราะเป็นการยากที่จะออกแบบระบบใหม่โดยที่ไม่ทราบว่าระบบเดิมทำงานอย่างไร หรือธุรกิจดำเนินการอย่างไร หลังจากนั้นกำหนดความต้องการของระบบใหม่ ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบจะต้องใช้เทคนิคในการเก็บข้อมูล (Fact-Gathering Techniques) ดังรูป ได้แก่ ศึกษาเอกสารที่มีอยู่ ตรวจสอบวิธีการทำงานในปัจจุบัน สัมภาษณ์ผู้ใช้และผู้จัดการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบ เอกสารที่มีอยู่ได้แก่ คู่มือการใช้งาน แผนผังใช้งานขององค์กร รายงานต่างๆที่หมุนเวียนในระบบการศึกษาวิธีการทำงานในปัจจุบันจะทำให้นักวิเคราะห์ระบบรู้ว่าระบบจริงๆทำงานอย่างไร ซึ่งบางครั้งค้นพบข้อผิดพลาดได้ ตัวอย่าง เช่น เมื่อบริษัทได้รับใบเรียกเก็บเงินจะมีขั้นตอนอย่างไรในการจ่ายเงิน ขั้นตอนที่เสมียนป้อนใบเรียกเก็บเงินอย่างไร เฝ้าสังเกตการทำงานของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจและเห็นจริงๆ ว่าขั้นตอนการทำงานเป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้นักวิเคราะห์ระบบค้นพบจุดสำคัญของระบบว่าอยู่ที่ใด
การสัมภาษณ์เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่นักวิเคราะห์ระบบควรจะต้องมีเพื่อเข้ากับผู้ใช้ได้ง่าย และสามารถดึงสิ่งที่ต้องการจากผู้ใช้ได้ เพราะว่าความต้องการของระบบคือ สิ่งสำคัญที่จะใช้ในการออกแบบต่อไป ถ้าเราสามารถกำหนดความต้องการได้ถูกต้อง การพัฒนาระบบในขั้นตอนต่อไปก็จะง่ายขึ้น เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วจะนำมาเขียนรวมเป็นรายงานการทำงานของระบบซึ่งควรแสดงหรือเขียนออกมาเป็นรูปแทนที่จะร่ายยาวออกมาเป็นตัวหนังสือ การแสดงแผนภาพจะทำให้เราเข้าใจได้ดีและง่ายขึ้น หลังจากนั้นนักวิเคราะห์ระบบ อาจจะนำข้อมูลที่รวบรวมได้นำมาเขียนเป็น "แบบทดลอง" (Prototype) หรือตัวต้นแบบ แบบทดลองจะเขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆ และที่ช่วยให้ง่ายขึ้นได้แก่ ภาษายุคที่ 4 (Fourth Generation Language) เป็นการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อใช้งานตามที่เราต้องการได้ ดังนั้นแบบทดลองจึงช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
เมื่อจบขั้นตอนการวิเคราะห์แล้ว นักวิเคราะห์ระบบจะต้องเขียนรายงานสรุปออกมาเป็น ข้อมูลเฉพาะของปัญหา (Problem Specification) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
รายละเอียดของระบบเดิม ซึ่งควรจะเขียนมาเป็นรูปภาพแสดงการทำงานของระบบ พร้อมคำบรรยาย, กำหนดความต้องการของระบบใหม่รวมทั้งรูปภาพแสดงการทำงานพร้อมคำบรรยาย, ข้อมูลและไฟล์ที่จำเป็น, คำอธิบายวิธีการทำงาน และสิ่งที่จะต้องแก้ไข. รายงานข้อมูลเฉพาะของปัญหาของระบบขนาดกลางควรจะมีขนาดไม่เกิน 100-200 หน้ากระดาษ

ขั้นตอนที่4 : การออกแบบ (Design)

ในระยะแรกของการออกแบบ นักวิเคราะห์ระบบจะนำการตัดสินใจของฝ่ายบริหารที่ได้จากขั้นตอนการวิเคราะห์การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ด้วย (ถ้ามีหรือเป็นไปได้) หลังจากนั้นนักวิเคราะห์ระบบจะนำแผนภาพต่างๆ ที่เขียนขึ้นในขั้นตอนการวิเคราะห์มาแปลงเป็นแผนภาพลำดับขั้น (แบบต้นไม้) ดังรูปข้างล่าง เพื่อให้มองเห็นภาพลักษณ์ที่แน่นอนของโปรแกรมว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร และโปรแกรมอะไรบ้างที่จะต้องเขียนในระบบ หลังจากนั้นก็เริ่มตัดสินใจว่าควรจะจัดโครงสร้างจากโปรแกรมอย่างไร การเชื่อมระหว่างโปรแกรมควรจะทำอย่างไร ในขั้นตอนการวิเคราะห์นักวิเคราะห์ระบบต้องหาว่า "จะต้องทำอะไร (What)" แต่ในขั้นตอนการออกแบบต้องรู้ว่า " จะต้องทำอย่างไร(How)"
ในการออกแบบโปรแกรมต้องคำนึงถึงความปลอดภัย (Security) ของระบบด้วย เพื่อป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น "รหัส" สำหรับผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สำรองไฟล์ข้อมูลทั้งหมด เป็นต้น
นักวิเคราะห์ระบบจะต้องออกแบบฟอร์มสำหรับข้อมูลขาเข้า (Input Format) ออกแบบรายงาน (Report Format) และการแสดงผลบนจอภาพ (Screen Fromat) หลักการการออกแบบฟอร์มข้อมูลขาเข้าคือ ง่ายต่อการใช้งาน และป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น
ถัดมาระบบจะต้องออกแบบวิธีการใช้งาน เช่น กำหนดว่าการป้อนข้อมูลจะต้องทำอย่างไร จำนวนบุคลากรที่ต้องการในหน้าที่ต่างๆ แต่ถ้านักวิเคราะห์ระบบตัดสินใจว่าการซื้อซอฟต์แวร์ดีกว่าการเขียนโปรแกรม ขั้นตอนการออกแบบก็ไม่จำเป็นเลย เพราะสามารถนำซอฟต์แวร์สำเร็จรูปมาใช้งานได้ทันที สิ่งที่นักวิเคราะห์ระบบออกแบบมาทั้งหมดในขั้นตอนที่กล่าวมาทั้งหมดจะนำมาเขียนรวมเป็นเอกสารชุดหนึ่งเรียกว่า "ข้อมูลเฉพาะของการออกแบบระบบ " (System Design Specification) เมื่อสำเร็จแล้วโปรแกรมเมอร์สามารถใช้เป็นแบบในการเขียนโปรแกรมได้ทันที่สำคัญก่อนที่จะส่งถึงมือโปรแกรมเมอร์เราควรจะตรวจสอบกับผู้ใช้ว่าพอใจหรือไม่ และตรวจสอบกับทุกคนในทีมว่าถูกต้องสมบูรณ์หรือไม่ และแน่นอนที่สุดต้องส่งให้ฝ่ายบริหารเพื่อตัดสินใจว่าจะดำเนินการ ต่อไปหรือไม่ ถ้าอนุมัติก็ผ่านเข้าสู่ขั้นตอนการสร้างหรือพัฒนาระบบ (Construction)

ขั้นตอนที่ 5 : การพัฒนาระบบ (Construction)

ในขั้นตอนนี้โปรแกรมเมอร์จะเริ่มเขียนและทดสอบโปรแกรมว่า ทำงานถูกต้องหรือไม่ ต้องมีการทดสอบกับข้อมูลจริงที่เลือกแล้ว ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย เราจะได้โปรแกรมที่พร้อมที่จะนำไปใช้งานจริงต่อไป หลังจากนั้นต้องเตรียมคู่มือการใช้และการฝึกอบรมผู้ใช้งานจริงของระบบ ระยะแรกในขั้นตอนนี้นักวิเคราะห์ระบบต้องเตรียมสถานที่สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วจะต้องตรวจสอบว่าคอมพิวเตอร์ทำงานเรียบร้อยดี โปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรมตามข้อมูลที่ได้จากเอกสารข้อมูลเฉพาะของการออกแบบ (Design Specification) ปกติแล้วนักวิเคราะห์ระบบไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการเขียนโปรแกรม แต่ถ้าโปรแกรมเมอร์คิดว่าการเขียนอย่างอื่นดีกว่าจะต้องปรึกษานักวิเคราะห์ระบบเสียก่อน เพื่อที่ว่านักวิเคราะห์จะบอกได้ว่าโปรแกรมที่จะแก้ไขนั้นมีผลกระทบกับระบบทั้งหมดหรือไม่ โปรแกรมเมอร์เขียนเสร็จแล้วต้องมีการทบทวนกับนักวิเคราะห์ระบบและผู้ใช้งาน เพื่อค้นหาข้อผิดพลาด วิธีการนี้เรียกว่า "Structure Walkthrough " การทดสอบโปรแกรมจะต้องทดสอบกับข้อมูลที่เลือกแล้วชุดหนึ่ง ซึ่งอาจจะเลือกโดยผู้ใช้ การทดสอบเป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ แต่นักวิเคราะห์ระบบต้องแน่ใจว่า โปรแกรมทั้งหมดจะต้องไม่มีข้อผิดพลาด
หลังจากนั้นต้องควบคุมดูแลการเขียนคู่มือซึ่งประกอบด้วยข้อมูลการใช้งานสารบัญการอ้างอิง "Help" บนจอภาพ เป็นต้น นอกจากข้อมูลการใช้งานแล้ว ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานที่จะเป็นผู้ใช้งานจริงของระบบเพื่อให้เข้าใจและทำงานได้โดยไม่มีปัญหาอาจจะอบรมตัวต่อตัวหรือเป็นกลุ่มก็ได้

ขั้นตอนที่ 6 : การปรับเปลี่ยน (Construction)

ขั้นตอนนี้บริษัทนำระบบใหม่มาใช้แทนของเก่าภายใต้การดูแลของนักวิเคราะห์ระบบ การป้อนข้อมูลต้องทำให้เรียบร้อย และในที่สุดบริษัทเริ่มต้นใช้งานระบบใหม่นี้ได้
การนำระบบเข้ามาควรจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อย ที่ดีที่สุดคือ ใช้ระบบใหม่ควบคู่ไปกับระบบเก่าไปสักระยะหนึ่ง โดยใช้ข้อมูลชุดเดียวกันแล้วเปรียบเทียบผลลัพธ์ว่าตรงกันหรือไม่ ถ้าเรียบร้อยก็เอาระบบเก่าออกได้ แล้วใช้ระบบใหม่ต่อไป

ขั้นตอนที่ 7 : บำรุงรักษา (Maintenance)

การบำรุงรักษาได้แก่ การแก้ไขโปรแกรมหลังจากการใช้งานแล้ว สาเหตุที่ต้องแก้ไขโปรแกรมหลังจากใช้งานแล้ว สาเหตุที่ต้องแก้ไขระบบส่วนใหญ่มี 2 ข้อ คือ 1. มีปัญหาในโปรแกรม (Bug) และ 2. การดำเนินงานในองค์กรหรือธุรกิจเปลี่ยนไป จากสถิติของระบบที่พัฒนาแล้วทั้งหมดประมาณ 40% ของค่าใช้จ่ายในการแก้ไขโปรแกรม เนื่องจากมี "Bug" ดังนั้นนักวิเคราะห์ระบบควรให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษา ซึ่งปกติจะคิดว่าไม่มีความสำคัญมากนัก
เมื่อธุรกิจขยายตัวมากขึ้น ความต้องการของระบบอาจจะเพิ่มมากขึ้น เช่น ต้องการรายงานเพิ่มขึ้น ระบบที่ดีควรจะแก้ไขเพิ่มเติมสิ่งที่ต้องการได้
การบำรุงรักษาระบบ ควรจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักวิเคราะห์ระบบ เมื่อผู้บริหารต้องการแก้ไขส่วนใดนักวิเคราะห์ระบบต้องเตรียมแผนภาพต่าง ๆ และศึกษาผลกระทบต่อระบบ และให้ผู้บริหารตัดสินใจต่อไปว่าควรจะแก้ไขหรือไม่

สารานุกรม

http://www.geocities.com/S_Analysis/SDLC2_2.html (10/06/08)